การดูแลและกระตุ้นให้ความทรงจำต่อสิ่งต่างๆ
รอบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มจากข้อมูลต่างๆ
ที่เข้าสู่สมองของลูกผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 6 นั่นคือ
รับภาพผ่านดวงตา รับเสียงผ่านหู รับกลิ่นผ่านจมูก รับรสผ่านลิ้น
รับความรู้สึกต่างๆ ผ่านผิวหนัง
และมีระบบรับสัมผัสภายในร่างกายและความรู้สึกของลูกเอง
ข้อมูลเหล่านี้จะนำไปเก็บตามส่วนต่างๆ ในสมอง โดยลำดับขั้นการเก็บความทรงจำ
จะเริ่มบริเวณสมองส่วนกลาง (hippocampus) ซึ่งจะทำหน้าที่คล้ายพนักงานจัดระบบสายโทรศัพท์ในองค์กรคือ
ช่วงแรกๆ จะส่งข้อมูลไปเก็บไว้ที่ความทรงจำระยะสั้น เช่น
เมื่อลูกมองเห็นภาพบางอย่างที่น่าสนใจ (ขอย้ำว่าต้องน่าสนใจ ไม่เช่นนั้น
สมองจะไม่ไปจัดเก็บไว้เลย) ก็จะเก็บข้อมูลได้สัก 20 วินาที
โดยเราจะมีระบบความจำระยะสั้น 2 แบบคือ การจดจำทันที กับ
การจดจำเพื่อใช้งาน ยกตัวอย่าง เช่น เราจะพาลูกไปทานอาหารที่ร้านสักแห่ง
ก็เปิดสมุดโทรศัพท์ เมื่อตาเรามองเห็นหมายเลข
สมองจะจดจำหมายเลขไว้นานพอที่เราจะหมุนโทรศัพท์ไปได้
แต่ระหว่างที่เรากำลังหมุนโทรศัพท์เกิดมีใครชวนเราคุย นั่นคือขัดขวางกิจกรรมที่จะทำให้สมาธิเสียไปพัก
เราจะลืมหมายเลขไป ต้องกลับมามองหาหมายเลขใหม่อีกครั้ง ตัวอย่างนี้คือ
ความทรงจำเพื่อใช้งานเป็นเวลาประมาณครึ่งนาทีเท่านั้น
ส่วนความจำเพื่อใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้นนั้น ต้องการกระบวนการมากกว่าที่กล่าวมา
โดยเฉพาะเด็กๆ จะต้องได้รับการฝึกฝนในการดึงข้อมูลที่มีในสมองออกมาใช้ให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูง
ซึ่งเมื่อเป็นผู้ใหญ่จะเป็นตัวตัดสินว่า ลูกของเรามีความสามารถในการคิด ตัดสินใจ
และแสดงออกต่อสิ่งต่างๆ ได้ดีมากน้อยเพียงไร ก่อนที่ข้อมูลต่างๆ
จะถูกจัดเก็บไว้ในความทรงจำระยะยาว สมองจะเก็บข้อมูลสำคัญๆ ไว้ที่ความทรงจำส่วนที่ต้องใช้งาน
อาจเป็นเวลาหลายชั่วโมง เป็นวัน สัปดาห์ หรือเดือน
ความทรงจำส่วนใช้งานนี้หากได้ใช้เป็นประจำ
จนกระทั่งสมองตระหนักว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อชีวิต
ข้อมูลส่วนนี้ก็จะถูกนำไปเก็บไว้ที่ความทรงจำระยะยาว แล้วข้อมูลใหม่ๆ
ที่เข้าสู่สมองจะถูกเชื่อมโยงกับข้อมูลที่มีอยู่แล้ว
ในสมองจึงเปรียบได้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่มากๆ สมมติว่า
เด็กจะต้องทำโจทย์คณิตศาสตร์ที่โรงเรียน เมื่อคุณครูให้โจทย์บนกระดาน
เด็กเห็นภาพโจทย์ส่งไปที่สมอง สมองของเด็กจะค่อยๆ
นำโจทย์นี้ไปเปรียบเทียบกับข้อมูลที่มีอยู่แล้ว ถ้าเด็กมีความจำเกี่ยวกับตัวเลขและวิธีทำอยู่แล้ว
และสามารถดึงข้อมูลออกมาได้ทันทีก็จะทำโจทย์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากว่ามีปัญหา
เช่น เป็นตัวเลขที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สมองเด็กจะพยายามเทียบเคียงดูว่า
พอจะเข้ากับอะไรได้บ้าง ถ้าหากพอจะเทียบเคียงกับสิ่งที่มีอยู่ได้ ก็จะค่อย ๆ
ลองทำดู ลองผิดลองถูกจนกระทั่งทำได้ หากเด็กมีความอดทน ก็จะลองพยายามทำเอง
เพราะเป็นเรื่องท้าทาย (และขอย้ำตรงนี้ว่า
ความสามารถของลูกในการใช้สมองแก้ไขปัญหาไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มากหรือน้อย
จะขึ้นกับพ่อแม่ที่จะฝึกให้เด็กมีความอดทนในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยไม่เข้าไปช่วยเหลือเร็วหรือมากเกินไป
อย่าลืมว่า ถ้าเด็กได้รับการช่วยเหลือมาก
ก็เท่ากับเราไปขัดขวางการทำงานของสมองเด็ก จะทำให้เด็กไม่อดทนที่จะแก้ปัญหา
และความสามารถในการดึงข้อมูลมาใช้ก็จะมีน้อย โตขึ้นก็จะลำบากทีเดียว) คุณพ่อคุณแม่จะต้องพยายามกระตุ้นและฝึกให้ลูกมีความอดทนที่จะดูแลแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันด้วยตนเอง
ซึ่งจะเป็นการฝึกฝนให้ลูกสามารถแก้ปัญหายากๆ ขึ้นได้ในอนาคต
ส่วนความทรงจำระยะยาวซึ่งจะเป็นฐานสำคัญสำหรับเด็ก ๆ ในการดำเนินชีวิตเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่ต่อไป
สำคัญมากก็คือ ความทรงจำที่จะอยู่นานไปจนถึงผู้ใหญ่
อยู่บนฐานของการที่วงจรในสมองของเราหนาแน่นเพราะใช้บ่อยๆ
เพราะในแต่ละเรื่องราวที่เราเก็บไว้ในความทรงจำ จะประกอบด้วย
ข่ายใยของเซลล์ประสาทเชื่อมโยงทั่วไปหมด นั่นคือต้องมีความเชื่อมโยงกับเซลล์รับสัมผัสทุกส่วน ไปกับส่วนที่ทำหน้าที่จัดระบบความจำ และไปถึงสมองส่วนบน เปลือกสมอง และสมองส่วนหน้า เพื่อจะสามารถใช้สมองส่วนหน้าของเราพิจารณาใช้ข้อมูลเมื่อถึง
วาระที่จำเป็น
เด็กเริ่มจัดระบบความทรงจำระยะยาวตั้งแต่อายุ 9 เดือน
แต่เราจะเริ่มสังเกตได้ชัดเจนประมาณ
อายุ
18
เดือน แต่โดยมาก พ่อแม่มักมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความทรงจำของลูกๆ
ก่อนอายุนี้แล้ว เมื่อเข้าสู่วัยขวบครึ่ง
เด็กจะมีความสามารถในการเข้าใจสัญลักษณ์ของสิ่งรอบตัวพอสมควร
และความทรงจำนี้จะเพิ่มพูนมากขึ้นๆ เมื่อครบ 3 ขวบ จะพัฒนาระบบความทรงจำระยะสั้น
ในขอบเขตความสามารถด้านภาษาของเด็ก นั่นหมายความว่า ถ้าลูกมีพัฒนาการภาษา คือ การเข้าใจ
สื่อสารคำพูดต่างๆ ได้มาก ก็จะมีข้อมูลในความทรงจำมากเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น